นับตั้งแต่ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้ามามีบทบาทในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนได้รับผลกระทบ ทั้งทางอากาศ ทางบก รวมไปถึงใต้ทะเลลึกก็ไม่เว้น ข่าวการเดิมพัน เศรษฐกิจ ด้วยเหมืองแร่ลึกท่ามกลางเสียงคัดค้านครั้งนี้ก็เช่นกัน

ทรัมป์เดิมพันเศรษฐกิจ ด้วยเหมืองแร่ลึก
ในห้วงลึกของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ที่ซึ่งความมืดมิดปกคลุมและความเงียบสงัดครอบงำ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังวางเดิมพันครั้งสำคัญ ด้วยคำสั่งบริหารล่าสุดที่จุดประกายความหวังทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ ควบคู่ไปกับเสียงคัดค้านที่ดังก้องกังวานจากทั่วโลก
การตัดสินใจขยายปฏิบัติการ เหมืองแร่ใต้ทะเลลึก ทั้งในน่านน้ำสหรัฐฯ และสากล ได้เปิดประตูสู่ขุมทรัพย์ทรัพยากรที่ซ่อนเร้น ทว่าในขณะเดียวกัน ก็สั่นคลอนความสมดุลของระบบนิเวศทางทะเลอันเปราะบางและยังเป็นปริศนา
เจาะลึกถึงเบื้องหลังและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ของทรัมป์ ที่มุ่งหวังจะปลดล็อกเม็ดเงินมหาศาลจากก้อนแร่โลหะใต้ทะเลลึก เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลอย่างยิ่งยวดของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและนานาชาติ ที่หวั่นเกรงต่อหายนะที่อาจตามมาจากการรุกล้ำสู่โลกใต้บาดาลที่ไม่เคยมีใครสำรวจอย่างจริงจังมาก่อน การเดิมพันของทรัมป์ครั้งนี้ จะนำไปสู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ หรือจะกลายเป็นตราบาป
ทรัมป์จุดชนวนศึกใต้ทะเลลึก สั่งขยายเหมืองแร่

ระเบิดศึกทรัพยากรใต้พิภพ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา ด้วยการลงนามในคำสั่งบริหารครั้งสำคัญ มุ่งขยายปฏิบัติการ เหมืองแร่ใต้ทะเลลึก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งในน่านน้ำของตนเองและในมหาสมุทรสากล
การตัดสินใจครั้งนี้มองข้ามหลักปฏิบัติสากลที่ทั่วโลกต่างตระหนักถึงความเสี่ยงร้ายแรงของการรุกล้ำพื้นทะเลลึก ซึ่งอาจนำมาสู่หายนะทางสิ่งแวดล้อม และทำลายระบบนิเวศอันเปราะบางอย่าง ไม่อาจหวนคืน
ทำเนียบขาวออกมาประกาศอย่างฮึกเหิมว่า แผนการของทรัมป์จะปลดล็อกขุมทรัพย์ ก้อนแร่โลหะใต้ทะเลลึก มูลค่ามหาศาลกว่า 1,000 ล้านเมตริกตัน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้เติบโตขึ้นอีกหลายแสนล้านดอลลาร์
ทว่า เบื้องหลังความหวังด้าน เศรษฐกิจ กลับซ่อนไว้ด้วยคลื่นความกังวล จากกลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่ออกมาเตือนถึงผลกระทบอันเลวร้ายจากการขุดเจาะพื้นมหาสมุทรเพื่อแย่งชิงโคบอลต์และแร่ธาตุอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำของทรัมป์ยังเป็นการท้าทายมาตรการควบคุมของ หน่วยงานกำกับดูแลพื้นทะเลระหว่างประเทศ (International Seabed Authority – ISA) อีกด้วย
ISA พยายามวางกรอบเกณฑ์สำหรับการสำรวจแร่ธาตุในน่านน้ำสากลมาตั้งแต่ทศวรรษ 1990 แต่ สหรัฐฯ กลับไม่เคยให้สัตยาบัน ในข้อตกลงที่มอบอำนาจศาลให้แก่ ISA และไม่ได้เข้าร่วมเป็นรัฐภาคีขององค์กรนี้
60 วันตัดสินชะตาใต้สมุทร

รายงานจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สเปิดเผยว่า ทรัมป์อ้างอำนาจตามกฎหมายที่คลุมเครือ ในปี 1980 ซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลกลางสามารถออกใบอนุญาตทำเหมืองใต้ทะเลในน่านน้ำสากลได้
ภายใต้คำสั่งบริหารล่าสุดนี้ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะมีเวลาเพียง 60 วัน ในการทบทวนและกำหนดขั้นตอนการออกใบอนุญาตสำรวจและทำเหมืองแร่ในพื้นที่นอกเขตอำนาจศาลของสหรัฐฯ
แม้ว่าการทำเหมืองใต้ทะเลลึกในเชิงพาณิชย์จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ความต้องการ แรร์เอิร์ธ หรือแร่หายากทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันจีนเป็นผู้ครองตลาดหลัก ได้ผลักดันให้สหรัฐฯ เร่งพัฒนาศักยภาพของตนเองในด้านนี้ เพื่อเสริมความมั่นคงด้านการป้องกันประเทศ สนับสนุนภาคการผลิตและพลังงาน
การเร่งออกใบอนุญาตทำเหมืองใต้ทะเลลึกถือเป็นหายนะของสิ่งแวดล้อม เอมิลี เจฟเฟอร์ส ทนายความประจำศูนย์เพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ (Center for Biological Diversity) กล่าวด้วยความกังวล “ทรัมป์กำลังแตะต้องระบบนิเวศที่เปราะบางและเป็นที่เข้าใจน้อยที่สุดของโลก เพียงเพื่อการสำรวจด้านอุตสาหกรรมที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ” เธอกล่าวเสริม
พื้นมหาสมุทรยังซุกซ่อน polymetallic nodules หรือก้อนแร่โลหะขนาดเท่าหัวมันฝรั่ง ซึ่งก่อตัวขึ้นบนพื้นทะเลภายใต้แรงกดดันมหาศาลเป็นเวลาหลายล้านปี ก้อนแร่เหล่านี้อุดมไปด้วยโลหะสำคัญ เช่น นิกเกิล โคบอลต์ ทองแดง และแมงกานีส ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ สายไฟ หรือแม้กระทั่งเครื่องกระสุน และอาจมีแรร์เอิร์ธปะปนอยู่ด้วย
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ รายหนึ่งให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนก่อนพิธีลงนามว่า สหรัฐฯ คาดว่าจะสามารถรวบรวมก้อนแร่ได้มากกว่า 1,000 ล้านเมตริกตัน และกระบวนการนี้จะสร้างงานได้มากถึง 100,000 ตำแหน่ง พร้อมทั้งเพิ่มเม็ดเงินให้กับระบบเศรษฐกิจถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ ภายใน 10 ปี
การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ของทรัมป์ครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่จุดประกายความหวังทางเศรษฐกิจ แต่ยังก่อให้เกิดคำถามสำคัญ เกี่ยวกับความสมดุลระหว่างการแสวงหาทรัพยากรและการปกป้องระบบนิเวศทางทะเลอันล้ำค่า ซึ่งเป็นสมบัติร่วมกันของมนุษยชาติ
โอกาสและความเสี่ยงในการลงทุนเหมืองแร่ยุคใหม่

โอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ใต้ทะเลลึก
บริษัทเทคโนโลยีและเหมืองแร่เกิดความสนใจในการลงทุนในบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีการขุดเจาะและสกัดแร่ใต้ทะเลลึก รวมถึงบริษัทที่มีศักยภาพในการสำรวจและทำเหมืองแร่ในพื้นที่ดังกล่าว
มีโอกาสในการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมนี้ เช่น บริษัทผลิตอุปกรณ์ขุดเจาะ, บริษัทขนส่งทางทะเล, และบริษัทแปรรูปแร่ธาตุ
แร่หายาก (Rare Earth Elements) การมุ่งเน้นไปที่แร่หายาก กระตุ้นให้เกิดการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและแปรรูปแร่เหล่านี้ เนื่องจากเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน
นักลงทุนต้องพิจารณาความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการทำเหมืองใต้ทะเลลึก ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบทางกฎหมายและชื่อเสียงของบริษัท ความคลุมเครือของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองในน่านน้ำสากล อาจสร้างความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุน
เทคโนโลยีการทำเหมืองใต้ทะเลลึกยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และมีความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีที่อาจทำให้โครงการล่าช้าหรือล้มเหลว อีกทั้งราคาแร่ธาตุในตลาดโลกมีความผันผวนสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทเหมืองแร่
ผลกระทบต่อตลาดแร่ธาตุ
- การเพิ่มอุปทานแร่ธาตุจากใต้ทะเลลึก อาจส่งผลกระทบต่อราคาแร่ธาตุในตลาดโลก
- การที่สหรัฐฯ ต้องการลดการพึ่งพาแร่ธาตุจากจีน อาจนำไปสู่การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดแร่ธาตุ
- การเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด จะเพิ่มความต้องการแร่ธาตุ ซึ่งอาจทำให้การทำเหมืองใต้ทะเลลึกมีความน่าสนใจมากขึ้น
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การทำเหมืองในน่านน้ำสากลอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศต่างๆ และการพัฒนามาตรฐานและกฎระเบียบสำหรับการทำเหมืองใต้ทะเลลึก อาจนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศ การติดตามความเคลื่อนไหวทาง เศรษฐกิจ โลกอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้เข้าใจแนวโน้มและปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบได้ดียิ่งขึ้น
ก้าวสู่ความสำเร็จทางการเงินด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษมากมายจากคาสิโนออนไลน์ ที่จะช่วยเปิดโอกาสให้คุณสร้างผลกำไรได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นโบนัสต้อนรับที่น่าดึงดูด หรือเครดิตฟรีที่พร้อมให้คุณได้เริ่มต้น สมัครวันนี้ รับโบนัส 1000 บาท เพียงใส่รหัส DW338